กรดอะมิโน Ornithine: ประโยชน์และการประยุกต์ใช้ในนักกีฬา

     Ornithine เป็นกรดอะมิโนไม่จำเป็น (Non-essential amino acid) ที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง มีบทบาทสำคัญในวัฏจักรยูเรีย (Urea cycle) ซึ่งเป็นกระบวนการกำจัดแอมโมเนียที่เป็นพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีส่วนในการสร้างกรดอะมิโนอื่นๆ เช่น Arginine, Citrulline และ Glutamine

จุดเด่นของ Ornithine

1. ลดความเหนื่อยล้า

     Ornithine ช่วยกำจัดแอมโมเนียที่สะสมในกล้ามเนื้อระหว่างการออกกำลังกาย ซึ่งอาจช่วยลดความเหนื่อยล้าและเพิ่มความทนทาน

2. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

     Ornithine มีส่วนในการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth hormone) ซึ่งอาจส่งเสริมการสร้างกล้ามเนื้อ

3. สนับสนุนการทำงานของตับ

     Ornithine ช่วยในการกำจัดแอมโมเนียและสารพิษอื่นๆ ผ่านวัฏจักรยูเรีย จึงอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพตับ

4. ปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ

     Ornithine ในบางงานวิจัยพบว่าอาจช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอน

การศึกษาเกี่ยวกับ Ornithine ในนักกีฬาและผู้ออกกำลังกาย

• การศึกษาในปี 2008 โดย Sugino และคณะ พบว่าการรับประทาน Ornithine ปริมาณ 2,000 มก. ต่อวัน เป็นเวลา 7 วัน ช่วยลดความเหนื่อยล้าในนักกีฬาที่ทำการฝึกซ้อมเป็นประจำ

• งานวิจัยของ Demura และคณะในปี 2010 ระบุว่าการเสริม Ornithine ก่อนการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องช่วยลดระดับแอมโมเนียในเลือดและความเหนื่อยล้าลงได้

• การศึกษาในปี 2014 โดย Miyake และคณะ พบว่าการรับประทาน Ornithine ปริมาณ 400 มก. ต่อวัน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใน เพศชายที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

สิ่งที่ควรระวังในการใช้ Ornithine

     แม้ว่า Ornithine จะค่อนข้างปลอดภัยเมื่อใช้ในปริมาณที่แนะนำ แต่อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือปวดท้องในบางราย ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาควรปรึกษาแพทย์หรือ ผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้

    Ornithine เป็นกรดอะมิโนที่มีศักยภาพในการเสริมสมรรถภาพทางกีฬาและสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะในแง่ของการลดความเหนื่อยล้าและสนับสนุนการสร้างกล้ามเนื้อ โดยถ้าต้องการอยากเสริม Ornithine ให้กับร่างกาย ก็เลือกซื้อจากร้านค้าอย่างเป็นทางการ เพื่อป้องกันของปลอม และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างเต็มที่

ข้อมูลอ้างอิง

1. Sugino, T., et al. (2008). Journal of Nutritional Science and Vitaminology, 54(4), 315-320.

2. Demura, S., et al. (2010). European Journal of Clinical Nutrition, 64(10), 1166-1171.

3. Miyake, M., et al. (2014). Nutrition Research, 34(11), 961-968.