หลายคนอาจคิดว่าโรคกระดูกพรุนเป็นโรคธรรมดาที่ควรมองข้าม เพราะอาการของโรคไม่ได้แสดงออกมากนัก ผู้ป่วยรู้ตัวอีกทีก็เมื่อตัวเองได้รับอาการเจ็บป่วย เช่น หกล้ม แล้วกระดูกหัก เป็นต้น และในปัจจุบันกับจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นเลยทำให้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเช่นกัน
มาทำความรู้จักโรคกระดูกพรุน อาการของโรค รวมไปถึงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค เพื่อที่จะช่วยให้หลีกเลี่ยงหรือป้องกันการเกิดความรุนแรงของโรค เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และการใช้ชีวิตประจำวันได้
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ โรคที่ร่างกายมีความหนาแน่นและมวลของกระดูกลดน้อยลงจนทำให้กระดูกเสื่อม เปราะบาง ผิดรูป และแตกหักได้ง่ายบางรายทำให้ส่วนสูงลดลงด้วยเพราะกระดูกผุกร่อนรวมทั้งอาจไม่สามารถทำงานหรือเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ทนรับน้ำหนักแรงกระแทกหรือแรงกดได้น้อยลง เนื่องจากความเจ็บปวดจากรอยแตกร้าวภายใน หรืออาจเกิดการแตกหักของกระดูกส่วนสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลให้พิการได้อย่างบริเวณกระดูกสันหลังซึ่งเป็นศูนย์กลางเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว
ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมักจะทราบว่าตนป่วยเมื่อมีอาการแสดงไปแล้วและยังมีอาการบ่งชี้อื่นๆ ที่ควรใส่ใจสังเกตเพื่อให้สามารถรักษาได้ทันการณ์ ดังนี้
กระดูกจะมีเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) ทำหน้าที่สร้างกระดูกขึ้นมาใหม่จากแคลเซียมและโปรตีนตามกระบวนการการเจริญเติบโตของร่างกายและคอยทดแทนกระดูกส่วนที่สึกหรอ และมีเซลล์สลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลายเนื้อกระดูกเก่า ส่วนโรคกระดูกพรุนเกิดจากการทำงานที่ไม่สมดุลกันของเซลล์กระดูกทั้ง 2 ชนิด จึงทำให้มีการสลายกระดูกมากกว่าการสร้างกระดูก โดยอาจเป็นเพราะมีปริมาณแคลเซียมในร่างกายไม่เพียงพอต่อกระบวนการสร้างกระดูก หรืออาจมีความผิดปกติของเซลล์กระดูก ทั้งนี้ ปัจจัยบางอย่างอาจเป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนได้ เช่น
เนื่องจากโรคกระดูกพรุนเกิดจากภาวะกระดูกเสื่อมที่มาจากหลายสาเหตุ วิธีรักษาจะเป็นการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก และลดการทำงานของเซลล์สลายกระดูก ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
บำรุงกระดูกและดูแลสุขภาพโดยทานอาหารที่มุคลเซียมและวิตามินดีสูง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน ไม่ออกกำลังกายหรือใช้แรงกายอย่างหักโหม
รับประทานยาเม็ดเสริมแคลเซียมและรับวิตามินดีที่ช่วยเสริมสร้างการดูดซึมแคลเซียม รวมทั้งรักษาระดับแคลเซียมในกระแสเลือด เพื่อรักษามวลกระดูกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
อาจใช้ยา เช่น ยาอะเลนโดรเนท ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเซลล์สลายกระดูก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมไปใช้ในกระบวนการสร้างกระดูกเพิ่มขึ้น ยาไรซีโดรเนท ซึ่งออกฤทธิ์ต่อเนื้อเยื่อกระดูก ลดอัตราการสลายตัวของกระดูก และเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ยาไอแบนโดรเนท ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการสลายกระดูกเช่นกัน โดยมีทั้งแบบเป็นเม็ดรับประทานและแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือฉีดโซลิโดรนิก แอซิด เข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อลดการทำงานของเซลล์สลายกระดูก ออกฤทธิ์ยับยั้งการปล่อยแคลเซียมสู่กระแสเลือด และป้องกันภาวะแคลเซียมในเลือดสูง เป็นต้น
อาจเพิ่มระดับฮอร์โมนบางชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างกระดูก อย่างการฉีดหรือให้ยาเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนแก่ผู้ป่วยเพศหญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนหรือผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกไป ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ในระดับปกติ
เราสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ง่ายๆ ดังนี้
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ใช้หักโหกจนเกิดความเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อกระดูก และควรตรวจสุขภาพอยู่สม่ำเสมอ
• รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ บริโภคโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสมทั้งโปรตีนจากพืชและสัตว์ และรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี ซึ่งเป็นสารอาหารหลักที่สำคัญต่อการสร้างกระดูก โดยควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม น้ำส้ม เต้าหู้ งา กุ้งฝอย ปลาตัวเล็ก ถั่วต่าง ๆ และผักใบเขียวอย่างผักคะน้า ผักกระเฉด ใบยอ ใบชะพลู สะเดา กะเพรา ตำลึง เป็นต้น และอาหารที่มีวิตามินดี เช่น ตับ ไข่แดง นม เนื้อ ปลาทู ฟักทอง เห็ดหอม เป็นต้น
• รับแสงแดดอ่อน ๆ ในตอนเช้าเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินดีในเลือด
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกรดสูง เช่นแอลกอฮอล์หรือน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน
• ไม่สูบบุหรี่และไม่ใช้สารเสพติด
• ระมัดระวังเรื่องการใช้ยา กลุ่มสเตียรอยด์ที่ต้องใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
ขอบคุณข้อมูลจาก
%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99