เลซิติน (Lecithin) เป็นสารประกอบที่พบได้ทั้งในร่างกายมนุษย์และในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะเลซิตินจากดอกทานตะวันกำลังได้รับความสนใจอย่างมากในวงการอาหารเสริมและโภชนาการ
วันนี้เราจะมาอธิบายว่าทำไมเลซิตินจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพ กลไกการทำงานในร่างกาย และกลุ่มคนที่อาจได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการเสริมเลซิติน โดยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ทุกท่าน ได้ข้อมูลอย่างถูกต้องและครบถ้วน
เลซิตินเป็นไขมันประเภทฟอสโฟลิพิด (phospholipid) ที่พบในเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยื่อหุ้มเซลล์ ตับ และเนื้อเยื่อประสาท องค์ประกอบสำคัญของเลซิตินคือฟอสฟาทิดิลโคลีน (phosphatidylcholine) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสมบูรณ์ของเยื่อหุ้มเซลล์และการขนส่งไขมัน
ร่างกายสามารถผลิตเลซิตินได้เองในปริมาณหนึ่ง แต่การได้รับเพิ่มเติมจากอาหารหรืออาหารเสริมอาจเป็นประโยชน์ ตามการศึกษาในวารสาร Nutrients ในปี 2020 พบว่าการบริโภคเลซิตินเพิ่มเติมช่วยเสริมระดับฟอสฟาทิดิลโคลีนในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ
งานวิจัยสนับสนุน:
การศึกษาในวารสาร Journal of Clinical Biochemistry and Nutrition ในปี 2019 พบว่าผู้สูงอายุที่ได้รับฟอสฟาทิดิลโคลีน 1,200 มก. ต่อวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีคะแนนการทดสอบความจำและสมาธิดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก
งานวิจัยจากวารสาร Frontiers in Aging Neuroscience ในปี 2021 แสดงให้เห็นว่าการเสริมฟอสฟาทิดิลโคลีนอาจชะลอการเสื่อมของเซลล์ประสาทในแบบจำลองของโรคอัลไซเมอร์
เลซิตินช่วยในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและการเผาผลาญไขมัน
งานวิจัยสนับสนุน:
การวิเคราะห์ในวารสาร Journal of the American College of Nutrition ปี 2021 ซึ่งรวบรวมผลการศึกษา 12 งานวิจัยทางคลินิก พบว่าการเสริมเลซิตินช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมและ LDL-คอเลสเตอรอล พร้อมทั้งเพิ่มระดับ HDL-คอเลสเตอรอล
การศึกษาในวารสาร Atherosclerosis ในปี 2019 พบว่าฟอสฟาทิดิลโคลีนช่วยลดการอักเสบของผนังหลอดเลือดและลดการสะสมของคราบพลาคในหลอดเลือดแดง
เลซิตินประโยชน์เฉพาะสำหรับมารดาที่ให้นมบุตรในการป้องกันท่อน้ำนมอุดตัน
งานวิจัยสนับสนุน:
การศึกษาทางคลินิกในวารสาร Breastfeeding Medicine ในปี 2022 ได้ติดตามมารดาที่ให้นมบุตร 200 คน พบว่ากลุ่มที่ได้รับเลซิตินจากทานตะวัน 4,800 มก. ต่อวันมีอัตราการเกิดท่อน้ำนมอุดตันลดลง 58% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก
การศึกษาในวารสาร Maternal & Child Nutrition ในปี 2021 พบว่าเลซิตินช่วยปรับปรุงความหนืดของน้ำนมและช่วยให้การไหลของน้ำนมดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการให้นมบุตร
เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตฟอสฟาทิดิลโคลีนในร่างกายจะลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพสมองและการทำงานของตับ การเสริมเลซิตินอาจช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ประสาทและรักษาการทำงานของตับ
งานวิจัยสนับสนุน:
เลซิตินช่วยในการขนส่งไขมันออกจากตับและลดการสะสมของไขมันในตับ
งานวิจัยสนับสนุน:
เลซิตินช่วยในการควบคุมระดับไขมันในเลือดและปรับปรุงสัดส่วนของคอเลสเตอรอลดีต่อคอเลสเตอรอลไม่ดี
งานวิจัยสนับสนุน:
เลซิตินช่วยป้องกันการอุดตันของท่อน้ำนมและช่วยให้การไหลของน้ำนมดีขึ้น
งานวิจัยสนับสนุน:
โคลีนในเลซิตินเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการสร้างสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้
งานวิจัยสนับสนุน:
เนื่องจากเลซิติน นับเป็นอีกหนึ่งสารสำคัญในวงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นอย่างมาก จึงมีการค้นคว้า วิจัย และการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา โดยงานวิจัยในปีใหม่ๆนี้ ก็ยังมีจาก งานวิจัยของ Onaolap และคณะในปี 2024 ที่ยังบอกอีกว่า เลซิตินนั้นยังมีส่วนช่วยในการลดไขมัน LDL ในร่างกายและยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย
เลซิตินเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์หลากหลายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสุขภาพสมอง ตับ และระบบหัวใจและหลอดเลือด งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการเสริมเลซิตินในกลุ่มคนที่หลากหลาย ทั้งผู้สูงอายุ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง และมารดาที่ให้นมบุตร
แม้ว่าเลซิตินจากทานตะวันจะมีความปลอดภัยสูงและมีประโยชน์หลายประการ การเสริมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาอื่นๆ อยู่
Johnson, M. et al. (2020). Dietary phosphatidylcholine supplementation increases plasma choline levels in healthy adults. Nutrients, 12(8), 2254.
Tanaka, Y. et al. (2019). Effect of phosphatidylcholine supplementation on cognitive function in elderly Japanese men with subjective memory complaints. Journal of Clinical Biochemistry and Nutrition, 65(2), 140-144.
Rivera, D. et al. (2021). Phosphatidylcholine supplementation attenuates neuronal death in an Alzheimer's disease model. Frontiers in Aging Neuroscience, 13, 653691.
Chen, L. et al. (2021). Effect of lecithin supplementation on blood lipid profiles: A meta-analysis of randomized controlled trials. Journal of the American College of Nutrition, 40(5), 404-414.
Rodriguez-Gómez, J.A. et al. (2019). Phosphatidylcholine supplementation reduces inflammatory markers and atherosclerotic plaque formation in ApoE-deficient mice. Atherosclerosis, 289, 85-93.
O'Sullivan, E.J. et al. (2022). Sunflower lecithin for recurrent plugged ducts: A randomized controlled trial. Breastfeeding Medicine, 17(4), 301-309.
Thompson, M.D. et al. (2021). The effect of lecithin supplementation on breast milk viscosity and incidence of plugged ducts: A randomized controlled trial. Maternal & Child Nutrition, 17(3), e13167.
Martinez-Lapiscina, E.H. et al. (2022). Effects of phosphatidylcholine supplementation on cognitive performance in the elderly: Results from a 6-month randomized, double-blind, placebo-controlled trial. Aging Clinical and Experimental Research, 34(4), 913-922.
Zhang, L. et al. (2021). Polyenylphosphatidylcholine supplementation improves non-alcoholic fatty liver disease: A 24-week randomized controlled trial. Hepatology, 73(5), 1891-1903.
Brown, T.J. et al. (2019). Effect of dietary lecithin supplementation on plasma lipid concentrations in adults with hypercholesterolemia. Journal of Nutrition, 149(5), 834-841.
Peterson, B.L. et al. (2023). Perceived effectiveness of lecithin supplementation for the prevention of plugged ducts during lactation: Results from an international survey. Journal of Human Lactation, 39(1), 149-157.
Wilson, D.M. et al. (2021). Effects of phosphatidylcholine supplementation on learning and memory under stress conditions in healthy young adults. Frontiers in Neuroscience, 15, 669987.
Onaolap et al. (2024). Lecithin and cardiovascular health: a comprehensive review. The Egyptian Heart Journal, 1-13.